ทำความรู้จัก “เซาะฮาบะฮฺ” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของ “เซาะฮาบะฮฺ” ภายหลังท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากไปก็คือเหตุการณ์ที่ ซะกีฟะฮฺ และเหตุการณ์อื่นที่ติดตามมาหลังจากนั้นอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าว

มีการบันทึกเป็นหลักฐานยืนยันอยู่ในหนังสือที่เรียบเรียงขึ้นในหัวข้อเรื่อง การเป็นอิมามและผู้มีอำนาจปกครองภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ความว่า “อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้มีพระบัญชาให้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แจ้งให้ประชาชาติของท่านศาสดารับรู้ว่า “คอลีฟะฮฺ” (ตัวแทน) และอิมาม (ผู้นำ) ต่อจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นั้นคือท่านอะลี บินอบีฏอลิบ นี่คือสิ่งที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ให้ความสนใจอย่างที่สุดนับตั้งแต่ท่านศาสดาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตอันจำเริญของท่าน บรรดาผู้รู้ได้อ้างหลักฐานจากอัลกุรอานและฮะดีษไว้ในหนังสือที่เรียบเรียงเรื่องการเป็นผู้นำ (อิมามะฮฺ) ซึ่งไม่เพียงถูกต้องเท่านั้นมันยังมีสายสืบที่สอดคล้องต้องกันเป็นเอกฉันท์

จากตัวอย่างเช่น

หลักฐานที่ปรากฏในช่วงเริ่มต้นเมื่อมีการประทานโองการเรื่อง การตักเตือน (อินซาร) และเรื่องราวของการชุมนุมในบ้านหลังหนึ่งนั้น ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ชี้ไปยังท่านอะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) แล้วกล่าวว่า

ان هذا أخي ووصي و خليفتي فيكم, فاسمعوا له و أطيعوا

“นี่คือน้องของฉัน (อะคี) ทายาทของฉัน (วะซีย์) ตัวแทน (เคาะลิฟะฮฺ) ของฉันในหมู่พวกท่าน พวกท่านต้องฟังเขาและปฏิบัติตามเขา”[1]

ท่านศาสดาได้กล่าวอย่างละเอียดในหลายสถานการณ์ด้วยกันว่า

ان عليا مني, و أنامنه, وهو ولي كل مؤمن بعدي

“แท้จริง อะลีเป็นส่วนหนึ่งของฉันและฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของเขา เขาคือผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคนภายหลังจากฉัน”[2]

ดังอัลกุรอานที่ว่า

“อันที่จริง ผู้ปกครอง (วะลี) ของพวกเจ้าคืออัลลอฮฺ ศาสดาของพระองค์ และบรรดาผู้ซึ่งกำลังทำนมาซและจ่ายซะกาต (ทานอาสา) ขณะที่เขากำลังก้มรุกูอ์อยู่” (อัล-มาอิดะฮฺ/55)[3]

ก็เพื่อที่จะเน้นย้ำและฝังรากเรื่องอำนาจการปกครอง (วิลายะฮฺ) และการเป็นตัวแทน (คิลาฟะฮฺ) ของท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีนอะลี (อ.) ภายหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และตัดขาดเส้นทางของพวกที่ระแวงสงสัยต่อตำแหน่งอันสูงส่งดังกล่าว

เมื่อปรากฏเรื่องราวของ “อัลเฆาะดีร” และการประทานโองการ “อัตตับลีฆ”[4] และโองการ “อิกมาลุดดีน”[5] ในฮัจญุต้ลวะดาอ์ (ฮัจญ์อำลาของท่านศาสดา) นั้น คำแก้ตัวใดๆ ของผู้ที่ชอบแก้ตัวในประเด็นปัญหาเรื่องการเป็นผู้มีอำนาจปกครองมวลมุสลิมของท่านอะมีรุลมุอฺมินีนอะลี (อ.) ภายหลังท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากไปนั้นก็หมดค่าไปทันที โดยที่ท่านศาสดาได้รวมคนในช่วงเวลาเที่ยงวันท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ ท่านศาสดาได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเทศนา (คุฏบะฮฺ) อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งของคำเทศนาของท่านศาสดาก็คือ

من كنت مولاه فهذا مولاه, اللهم وال من والاه,وعاد من عاداه, واخذل من خذله, و انصرمن نصره

“บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นเจ้าชีวิตของเขา คนนี้ก็คือเจ้าชีวิตของเขาด้วย[6] โอ้ อัลลอฮฺได้โปรดรักผู้ที่มอบความรักแก่เขาและได้โปรดโกรธเกลียดผู้ที่เกลียดชังเขา ได้โปรดผลักไสผู้ที่ผลักไสเขาและได้โปรดช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือเขา”[7]

แต่ทว่า กลุ่มชนนั้นก็ยังคงล่วงเกินบทบัญญัติศาสนาจนกระทั่งพวกเขาได้ละิทิ้งร่างอันไร้วิญญาณของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไว้บนพื้นห้อง แล้วก็รีบเร่งไปยัง ซะกีฟะฮฺบะนีซาอิดะฮฺ (ที่ประชุมของอาหรับสมัยอนารยชน) พวกเขาต่างก็โต้เถียงกันในเรื่องหนึ่งภายหลังจากท่านศาสดาจากไป ซึ่งเราไม่มีความจำเป็นต้องนำมากล่าวในตอนนี้.....และแล้วกลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธที่จะมอบสัตยาบันโดยมีท่านอิมามอะลี บินอบีฏอลิบเป็นแกนนำร่วมกับชนชั้นนำของตระกูลบนีฮาชิมและชาวมุฮาญิรีนและอันซอร-ก็ถูกบังคับให้มอบสัตยาบันแ่ก่เขา เหตุการณ์เหล่านี้มีเรื่องต้องอธิบายกันอีกยาว

ส่วนท่านหญิงอัซซะฮ์รอผู้บริสุทธิ์ ส่วนหนึ่งของชีวิตท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นั้นไม่ได้ให้สัตยาบันต่อเขาเลย เมื่ออบูบักรได้ยึดครองสวนฟะดักและทรัพย์สินส่วนอื่นที่เป็นของท่านหญิง (อ.) ท่านหญิง (อ.) ได้ไปพบกับอบูบักรและทวงสิทธิ์ของท่านหญิงคืนเขากลับไม่ให้สิทธิ์ใดเลยแก่ท่านหญิง (อ.) ท่านหญิง (อ.) กลับมาในสภาพที่โกรธเคืองต่อเขาและอุมัร บินค็อฏฏ็อบ เป็นอันมาก

อุมัรได้กล่าวกับอบูบักรว่า “เราไปพบฟาฏิมะฮฺกันดีกว่าเพราะเรา่ทำให้นางโกรธเคือง”

เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ  (อ.) ท่านหญิง  (อ.)  กล่าวขึ้นว่า

الم تسمعا رسول الله يقول: رضافاطمة من رضاي,و سخط فاطمة من سخطي...فاني أشهدالله و ملائكته أنكما أسخطتماني و ما أرضيتماني, و لئن لقيت النبي لأ شكونكما اليه

“เจ้าทั้งสองไม่เคยได้ยินคำพูดของท่านศาสดาที่กล่าวว่าความพึงพอใจของฟาฏิมะฮฺเป็นความพึงพอใจของฉัน และความโกรธเคืองของฟาฏิมะฮฺนั้นก็คือความโกรธเคืองของฉันดอกหรือ ? แท้จริงขอปฏิญาณยืนยันต่ออัลลอฮฺและมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ว่า เจ้าทั้งสองนั้นทำให้ฉันโกรธและไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ฉัน หากฉันได้พบกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ฉันก็จะฟ้องร้องเรื่องของเจ้าทั้งสองต่อท่านศาสดา”

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ยังกล่าวอีกว่า

والله لأدعون الله عليك في كل صلاة أليها

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะวอนขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺในทุกนมาซให้ลงโทษเจ้า”[8]

ท่านหญิง (อ.) ยังคงหมางเมินต่ออบูบักรจนกระทั่งท่านหญิง (อ.) ได้จากโลกนี้ไป (การหมางเมินของท่านหญิงก็คือท่านหญิงไม่พูดกับเขาอีกเลย....จนกระทั่งท่านหญิงได้จากโลกนี้ไป ท่านอะลี (อ.) ได้ทำการฝังร่างของท่านหญิงในช่วงกลางคืน และไม่อนุญาตให้อบูบักรพบกับท่านหญิงอีกเลย)[9]

ยังมีกลุ่มที่ปฏิเสธที่จะมอบสัตยาบันให้แก่อบูบักรอีกเป็นจำนวนมิใช่น้อย อาทิเช่น มาลิก บินนุวัยเราะฮฺ และวงศาคณาญาติของเขา อบูบักรได้ส่งคอลิด บินวะลีด ไปจัดการกับพวกเขาคอลิดได้ปล้นสะดมและสังหารมาลิกและกลุ่มชนของเขา อีกทั้งยังได้หน่วงเหนี่ยวภรรยาของพวกเขาไว้ เขาได้แต่งงานกับภรรยาของมาลิกในคืนวันที่เขาสังหารสามีของนาง (มาลิก) เหตุการณ์นี้เป็นที่รับรู้กันและมีการบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าตำหนิที่สุดนับตั้งแต่อบูบักรขึ้นเสวยอำนาจ

เมื่อคอลิด บินวะลีดสังหารมาลิก บินนุวัยเราะฮฺ และแต่งงานกับภรรยาของเขาแล้ว ความทราบถึงอุมัร บินค็อฏฏอบ เขาจึงได้ปรึกษาเรื่องนี้กับอบูบักรหลายต่อหลายครั้งเขากล่าวว่า “ศัตรูของอัลลอฮฺได้ล่วงละเมิดต่อมุสลิมและได้สังหารเขา แล้วยังล่วงเกินภรรยาของเขาอีก”

เมื่อคอลิดกลับมา อุมัรได้ตะโกนใส่หน้าเขาว่า “เจ้าได้สังหารมุสลิมคนหนึ่ง แล้วยังล่วงเกินภรรยาของเขาอีก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ข้าจะต้องขว้างเจ้าด้วยหินอย่างแน่นอน”[10]

ในสมรภูมิยัรมูก อบูซุฟยานและกลุ่มผู้อาวุโสของกุร็อยซ์ได้จับกลุ่มอยู่ที่เนินแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ออกไปสู้รบแต่ประการใด เมื่อพวกโรมันเป็นฝ่ายรุก พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้โฮ พวกผิวเหลือง” แต่มุสลิมเป็นฝ่ายรุก พวกเขาก็กล่าวว่า “พวกผิวเหลือแย่แล้ว” เมื่ออัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ทรงสร้างความปราชัยแก่ฝ่ายโรมันแล้ว ซุเบรได้ยินสิ่งที่พวกเขากล่าว เขาได้พูดขึ้่นว่า “พวกเขาแสดงความเป็นศัตรูทั้งๆที่เราดีกับพวกเขายิ่งกว่าชาวโรมัน”[11]

เมื่ออบูบักรใกล้จะสิ้นชีวิต อับดุลเราะฮฺมาน บินเอาฟ์ ได้เข้าไปพบเขา อบูบักรได้กล่าวกับเขาว่า “ฉันได้ขึ้นกุมบังเหียนพวกท่าน ความมีเกียรติของพวกท่านแฝงอยู่ในตัวของฉัน พวกท่านทั้งหมดจึงรู้สึกลำพองใจต่อตำแหน่งดังกล่าว เขาต้องการให้งานนี้เป็นของคนๆหนึ่ง ที่ไม่ใช่บุคคลอื่น ขณะที่พวกท่านกลับเห็นว่า (ความรื่นรมย์ของ) โลกนี้ได้ย้อนกลับมาหาแล้ว พวกท่านคือกลุ่มคนแรกที่ทำให้ประชาชนหลงทางในกาลต่อมา ดังนั้นจงยับยั้งพวกเขาไม่ให้ก้าวไปทางขาวหรือทางซ้ายอีก”[12]

อบูบักรยังได้กล่าวอีกว่า “มีอยู่ 3 อย่างที่ฉันอยากที่จะละทิ้งมัน ฉันอยากที่จะไม่ต้องค้นบ้านของฟาฏิมะฮฺ หากพวกเขาได้ปิดประตูจากสงคราม...ส่วนสิ่งที่ฉันได้ละทิ้งมันไปก็คือฉันปรารถนาที่จะนำตัวอัซอัษ บินก็อยซ์มาในฐานะเชลย โดยที่ฉันจะเป็นคนบั่นศีรษะเขาเอง แท้จริงเขาได้ลวงฉันว่าเขาไม่เคยมีทัศนะคติที่ไม่ดีเลย”[13]

ท่านอบูบักรได้มอบการบังคับบัญชาแก่อุมัร บินค็อฏฏอบ ท่ามกลางการครหาของ “เซาะฮาบะฮฺ” ชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย โดยอ้างว่า เขาเป็นคนที่ดีที่สุด และยังออกตัวอีกว่า อำนาจการปกครองของเขานั้นไม่ได้เป็นตามหลักการศาสนาที่มาจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และไม่ได้เป็นการสมยอมของมวลมุสลิมทั้งหมด

ในช่วงสมัยที่เขาปกครองนั้นมีการละเว้นการลงโทษตามหลักการศาสนาและเปลี่ยนแปลงกฎศาสนบัญญัติของพระเจ้า ซึ่ง ณ ที่นี้คงไม่เหมาะที่จะกล่าวถึง ผู้ใดประสงค์ที่จะรับรู้ก็ขอให้ไปเปิดหนังสือที่ได้มีการเรียบเรียงขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้เป็นการเพียงพอแล้วที่เราจะรับรู้ว่า อุมัรคือคนที่กล่าวผสุรวาทต่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่าท่านศาสดาฟั่นเฟือนไปแล้ว ขณะที่ก็ไม่มีการบันทึกคำสั่งเสียของท่านศาสดาเอาไว้

ท่านอุมัรคือผู้ซึ่งได้เสนอแนวคิดเรื่องการกำหนดตำแหน่งผู้นำด้วยการปรึกษาหารือ (ชูรอ) เมื่อมีข่าวมาถึงหูเขาว่า “เซาะฮาบะฮฺ” ชั้นผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งพูดกันว่า “หากอุมัรตาย เราก็จะให้สัตยาบันต่ออะลีอย่างแน่นอน”[14]

แต่เมื่อเขาต้องการให้อุซมาน บินอัฟฟานและพวกบนีุอุมัยะฮฺขึ้นเสวยอำนาจ เขากลับกำหนดให้บุคคล 6 คนเป็นที่ประชุมปรึกษาหารือเรื่องการกำหนดตัวบุคคลกับมุสลิมโดยทั่งไปแต่อย่างใด เขาได้ตีกรอบให้คนพวกนั้นเลือกอย่างไรก็ได้แต่ให้ลงตัวที่อุซมานเท่านั้น

หลังจากที่ท่านอุมัรได้กำหนดให้บุคคลทั้ง 6 ทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาแล้ว เขาได้แจ้งให้พวกเขาทราบถึงตัวตนของแต่ละคนดังนี้ เขากล่าวว่า “ท่านนั้น โอ้ ซุเบร ท่านจะเป็นผู้ศรัทธาเมื่อมีความพึงพอใจแต่จะเป็นผู้ปฏิเสธเมื่อเกิดความกริ้วโกรธ วันหนึ่งเป็นคน อีกวันหนึ่งเป็นมารร้าย วันที่ท่านเป็นมารร้ายนั้นจะเกิดอะไรกับประชาชน”

และแล้วเขาก็หันมาหาฏ็อลฮะฮฺ-เขาโกรธฏ็อลฮะฮฺอยู่-เขากล่าวกับฏ็อลฮะฮฺว่า “จะให้ฉันพูดหรือไม่พูด (ดีกว่า) ?” ฏ็อลฮะฮฺกล่าวตอบว่า “ก็พูดไปซิ ท่านจะไม่พูดสิ่งที่ดีหรอก” อุมัรจึงพูดว่า “แท้จริง ฉันรู้จักท่านตั้งแต่นิ้วของท่านเพิ่งงอกออกมา ตั้งแต่วันอุฮุดจนกระทั่งเติบใหญ่ ท่านเราะซูลจากโลกนี้ไปในสภาพที่โกรธเคืองต่อท่านด้วยคำพูดที่ท่านได้พูดเมื่อตอนที่โองการเรื่องฮิญาบถูกประทานลงมา”[15]

อุมัรได้สั่งให้ ศุเฮบ อัรรูมี สังหารทุกคนที่ตอกย้ำแสดงกาเป็นปรปักษ์ต่อมติในการประชุมปรึกษาหารือของคณะที่ปรึกษาทั้ง 6 ขึ้นที่แต่งตั้งขึ้นมา เขากล่าวกับศุเฮบว่า “หากปรากฏว่ามี 5 คนรวมตัวกันพึงพอใจบุคคลหนึ่งและมี 1 คนที่ปฏิเสธก็ทำให้คอของเขากลวงเสีย-หรือบั่นคอของเขาด้วยดาบเสีย-หากมี 4 คนลงมติเห็นพ้องและพอใจบุคคลหนึ่งในหมู่พวกเขา และมี 2 คนปฏิเสธก็ให้บั่นคอเขาทั้งสอง และถ้าหากมี 3 คนพอใจบุคคลหนึ่ง และอีก 3 คนพอใจอีกบุคคลหนึ่ง จงอยู่ร่วมกับกลุ่มที่มีอับดุลเราะฮฺมาน บินเอาฟ์อยู่ และจงสังหารพวกที่เหลือหากพวกเขามีท่าทีบอกปัดสิ่งที่ประชาชนลงมติร่วมกันไปแล้ว”[16]

ในการประชุมของขณะที่ปรึกษา 6 คนนั้น ท่านอิมามอุลี บิน อะบีฏอลิบ กล่าวกับอับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาฟว่า “จงให้สัญญากับฉันว่า ท่านจะทำให้สัจธรรมเป็นผลและจะไม่ปฏิบัติตามความต้องการส่วนตน และก็จะไม่เลือกเฉพาะวงศาคณาญาติ”

แต่ทว่าอับดุรเราะฮฺมานปฏิบัติตามอารมณ์ฺส่วนตน และเอนเอียงไปทางอุซมาน ในเรื่องคณะที่ปรึกษา 6 คนนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ใน “คุฏบะฮฺ อัชชักชิกียะฮฺ” ว่า

فصبرت علي طول المدة, و شدة المحنة, حتي إذا مضي لسبيله,جعلها في جماعة زعم أني أحدهم, فيالله و للشوري متي اعترض الريب في مع الأول منهم, حتي صرت أقرن إلي هذه النظائر ! لكني أسففت إذاسفوا, وطرت إذ طاروا, فصغا...رجل منهم ل  غنه, ومال الآخرلصهره, مع هن و هن

“ดังนั้น ฉันจึงต้องอดทนอย่างยาวนานท่ามกลางการทดสอบอันแสนเจ็บปวด จนกระทั่งเรื่องดังกล่าวได้ผ่านต่อมายังบุคคลผู้นั้น เขาได้กำหนดให้เรื่องดังกล่าวอยู่กับคณะบุคคลหนึ่งโดยคาดว่าจะให้ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจาก (พฤติกรรมแฝงเร้นของ) ชูรอ เมื่อถึงวาระที่ความเคลือบแคลงสงสัยในตัวฉันได้ก่อตัวขึ้น โดยถูกนำไปเปรียบเทียบกับเบอร์หนึ่งของพวกเขาแล้ว ฉันก็กลายสภาพไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบุคคลนั้น แต่ฉันก็ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดเมื่อพวกเขาเรียกร้อง (เพื่อผลประโยชน์ของอิสลามและสถานการณ์อันเหมาะสม) รีบเข้าร่วมเมื่อพวกเขาได้เข้ามาร่วมกัน แล้วชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขาก็เกิดความริษยาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ส่วนคนอื่นก็ปรารถนาให้พรรคพวกของตนขึ้นมาสู่ตำแหน่งดังกล่าว..”[17]

บุคคลที่เป็นผู้ฉีกสัญญาทิ้งคือ ฏ็อลฮะฮฺ เมื่อเขามอบสิทธิ์ของเขาแก่อุซมาน เพราะถอนการสนับสนุนท่านอิมามอะลี (อ.) ส่วนบุคคลที่ปรารถนาให้พรรคพวกของตนขึ้นมาสู่ตำแหน่งดังกล่าวคือ อับดุลเราะฮฺมานที่เอนเอียงไปทางอุซมาน ก็เพราะภรรยาของอับดุลเราะฮฺมาน-อุมมุกุลษูม บินติอะก่อบะฮฺ-เป็นน้องสาวร่วมมารดาของอุซมาน

อัลดุลเราะฮฺมานได้เสนอเงื่อนไขแก่ท่านอิมามอะลี (อ.) ว่าหากเขามอบตำแหน่งผู้ปกครองให้แล้ว ท่านอิมามอะลี (อ.) จะต้องกระทำตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ แบบฉบับของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และตามแนวทางของท่านอบูบักรและอุมัร แต่ท่านอะลี (อ.) ไม่เห็นด้วยในเงื่อนไขสุดท้าย (คือปฏิบัติตามแนวทางของท่านอบูบัรกและอุมัร) ส่วนท่านอุซมานนั้นเห็นด้วยทั้งหมด อับดุลเราะฮฺมาน บินเอาฟ์จึงได้มอบตำแหน่งผู้ปกครองให้กับเขา ท่านอิมามอะลี (อ.) จึงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่วันแรกที่พวกท่านร่วมมือกันต่อต้านเรา”[18] เมื่อพิธีการให้สัตยาบันสิ้นสุดลง มุฆีเราะฮฺ บินชุอบะฮฺกล่าวกับอับดุลเราะฮฺมานว่า “โอ้อบูมุฮัมมัด ท่านได้รับตำแหน่ง (ผู้นำคนต่อไป) แล้วเมื่อท่านให้สัตยาบันแก่อุซมาน” และกล่าวกับอุซมานว่า “หากอับดุลเราะฮฺมานให้สัตยาบันต่อบุคคลอื่น นอกจากท่านแล้ว พวกเราคงไม่พอใจ” อับดุลเราะฮฺมานกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดโกหก ไอ้คนตาเสีย หากข้าให้สัตยาบันต่อคนอื่นนอกจากเขาได้ ข้าก็ทำไปแล้ว และข้าก็จะพูดประโยคที่ได้พูดไป”[19]

อบูซุฟยานได้เข้ามาหาท่านอุซมาน แล้วพูดว่า “โอ้พวกบนุอุมัยะฮฺเอ๋ย จงเขี่ยมัน (ตำแหน่งปกครอง) เข้าไป ให้เหมือนกับการเขี่ยลูกฟุตบอล ขอสาบานต่อผู้ซึ่งอบูซุฟยานให้สัตย์สาบานว่า ไม่การลงทัณฑ์ (อะซาบ) และไม่มีการคิดบัญชี (ความดีชั่ว) ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ไม่มีการออกมาจากหลุมฝังศพ และไม่มีวันฟื้นคืนชีพ”[20]

เมื่อเขาได้เปลี่ยนแปลงกฎศาสนบัญญัติมากมายและเข้าครอบครองทรัพย์สินของมวลมุสลิมอย่างไม่ชอบธรรม เอาคนชั่ว คนบาปหนาเข้ามาใกล้ เฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาจากตระกูลบนีอุมัยยะฮฺ และให้พวกเขาได้รับตำแหน่งปกครอง เช่น มัรวาน บินฮะกัม และวะลีด บินอะก่อบะฮฺ ก็เกิดคำครหาต่อเขาจากหมู่ “เซาะฮาบะฮฺ” และตาบิอีน (คนรุ่นถัดมาจากเซาะฮาบะฮฺ)[21]

วะลีด บินอะก่อบะฮฺ ข้ารัฐการคนหนึ่งของอุซมานนั้นมีชื่อเสียงในด้านการทำชั่วและดื่มสุรา เขาไ้ด้เคยดื่มสุราในขณะที่นำกองทัพไปรบกับพวกโรมัน มุสลิมบางคนต้องการให้นำตัวเขามาพิพากษาความผิด ฮุซัยฟะฮฺกล่าวว่า “จงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหัวหน้าของพวกท่าน พวกท่านใกล้ศัตรูของพวกท่านเข้าไปทุกทีแล้ว”[22]

อิบนุฮะญัร อัลอัซก่อลานี กล่าวในเรื่องนี้ว่า “เรื่องนมาซศุบฮ์ 4 ร่อกะอัตในสภาพที่เขา (วะลีด) เมามาย นั้นเป็นเรื่องที่รับรู้กันโดยทั่วไป และถูกนำออกมาเปิดเผย และเรื่องการถอดถอนเขา (วะลีด) ออกจากตำแหน่งเมื่อมีหลักฐานยืนยันได้ว่าเขาดื่มสุรานั้นก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป โดยถูกนำมากล่าวไว้ใน “ศอฮีฮัยน์” (บุคอรีและมุสลิม) ด้วย”[23]

เมื่อมุสลิมมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับวะลีดมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านอุซมานจึงต้องถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งและเขี่ยเขา[24]

“เซาะฮาบะฮฺ” จำนวนมิใช่น้อยที่ต่างก็ครหาต่อท่านอุซมานเพราะเขา ได้มอบทรัพย์สินและเงินตอบแทนแก่วงศาคณาญาติของเขา ท่านอบูซัร อัลฆ็อฟฟารี กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ได้เกิดเรื่องราวมากมายที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ มันไม่เคยมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และแบบฉบับของศาสดาของพระองค์เลย ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันเห็นสัจธรรมถูกบดบังรัศมีและอธรรมถูกฟื้นฟูขึ้นมา ผู้สัตย์จริงกลับ (ถูกให้ร้าย) กลายเป็นผู้โป้ปดมดเท็จ คนดีมีคุณธรรมต้องรับเคราะห์กรรม”[25]

ในวันหนึ่ง ท่านอุซมานได้กล่าวกับอบูซัร ความว่า “ขออัลลอฮฺอย่าได้ประทานอะไรให้แ่ก่ท่านเลย โอ้ ญุนัยดุบ...ท่านคือ ผู้ซึ่งคาดหวังที่จะให้เรากล่าวว่า แท้จริงมือของอัลลอฮฺ ถูกล่ามโซ่แล้ว” อบูซัร กล่าวตอบว่า “หากพวกท่านไม่คาดหวัง (เช่นนั้น) พวกท่านก็ต้องแบ่งปันทรัพย์สินของอัลลอฮฺแก่ปวงบ่าวของพระองค์ แต่ทว่า ฉันขอยืนยันเป็นสักขีพยานว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลอฮฺ (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า

إذا بلغ بنو أبي العاص ثلاثين رجلا جعلوا مال الله دولا, و عبادالله خولا, و دين الله دخلا

“เมื่อลูกหลานขออบุล อาศ มีจำนวนถึง 30 คนพวกเขา จะทำให้ทรัพย์สินของอัลลอฮฺ เป็นอำนาจบ่าวของอัลลอฮฺเป็นผู้อยู่ใต้อำนาจ และศาสนาของอัลลอฮฺเป็นรายได้...”

ท่านอุซมานพูดแทรกขึ้นว่า “ความหายนะจงมีแก่ท่าน ท่านให้ร้ายต่อท่านเราะซูล”

ท่านอบูซัรโต้กลับว่า “ข้าพเจ้าบอกกับพวกท่านว่า ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งนี้มาจากท่านเราะซูล พวกท่านกลับว่าร้ายข้าพเจ้ากระนั้นหรือ ? ข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิดว่าข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ตราบจนได้ยินคำพูดนี้จากปากของเซาะฮาบะฮฺของท่านเราะซูล”[26]

เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เคยพูดถึงเรื่องสิทธิของท่านอบูซัรไว้ว่า

ما أظلت الخضراء ولا أقلت الغبراء أصدق اهجة من أبي ذر

“ไม่มีอะไรที่ร่มรื่นยิ่งกว่าพันธุ์ไม้สีเขียวและไม่มีอะไรขนาดเล็กกว่าฝุ่น (ที่จะเป็นความจริง) ยิ่งไปกว่าคำพูดจากปากของอบูซัร”

มีเรื่องน่าอดสูยิ่งกว่านั้นก็คือ ท่านอุซมานเนรเทศท่านอบูซัรออกจากเมืองของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) โดยอาศัยมือของบุคคลที่ถูกท่านศาสดาขับไล่และเป็นลูกของผู้ที่ถูกขับไล่ มัรวาน บินฮะกัม[27]

การดูหมิ่นต่อท่านอุซมานดำเนินถึงขีดสุด ดังเหตุการณ์ขณะที่เขานมาซพร้อมกับประชาชน เมื่อเขา “ตักบีร” ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวขึ้นว่า “ประชาชนทั้งหลาย พวกท่าานได้ละทิ้งการงานของอัลลอฮฺและขัดแย้งกับสัญญาของพระองค์” จากนั้นนางก็เงียบและท่านหญิงฮัฟเซาะฮฺก็พูดเช่นเดียวกันนี้ เมื่อท่านอุซมานนมาซเสร็จ เขาก็ได้หันหน้ามาที่ประชาชน และกล่าวว่า “แท้จริงนางทั้งสองนี้เป็นพวกสร้างความปั่นป่วน การด่าทอคนทั้งสองนั้นสำหรับฉันแล้วถึงเป็นสิ่งอนุมัติ ฉันรู้ถึงรากเหง้าของคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี”[28]

การดูหมิ่นดังกล่าวเลยเถิดถึงขนาดมีการพูดอย่างเด่นชัดถึงการเป็นผู้ปฏิเสธของอุซมานจากบรรดาของภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งก็คือท่านหญิงอาอิชะฮฺ เมื่อนางได้ออกคำตัดสิน (ฟัตวา) ให้สังหารเขาได้ นางกล่าวว่า “จงสังหาร นะอ์ษะลัน เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา”[29]

การดูหมิ่นต่อเขานั้นมากมายเหลือเกิน น่าเกลียดยิ่งกว่าจะมีผู้ใดได้รับการดูหมิ่นเช่นนั้น[30] ฏ็อลฮะฮฺ บินอุบัยดุลลอฮฮ ก็ถือว่า เป็นหนึ่งในบรรดาผู้แสดงความดูหมิ่นต่ออุซมาน ถึงขนาดพวกที่ชอบแสดงอาการดูหมิ่นและประณามเขานั้นได้มีการรวมตัวกัน มีการยึดกุญแจคลังสมบัติและมีประชาชนรายล้อมตัวเขาอยู่ เมื่อท่านอิมามอะลีได้ยินเช่นนั้น ท่านบุกเข้าไปพังประตู แล้วนำทรัพย์สินนั้นมาจ่ายแจกพวกที่ร่วมชุมนุมกันต่างแตกกระซานซ่านเซ็นและผละจากฏ็อลฮะฮฺไป อุซมานเมื่อได้ยินดังนั้นก็แสดงความพึงพอใจและยินดีออกมานอกหน้า พอฏ็อลฮะฮฺมาถึงและเข้าไปพบกับท่านอุซมาน เขาจึงพูดกับฏ็อลฮะฮฺว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เจ้าไม่ได้มาในสภาพของผู้ที่กลับตัวกลับใจแล้ว แต่เจ้ามาในสภาพของผู้พ่ายแพ้ อัลลอฮฺจะเป็นผู้คิดบัญชีกับเจ้าเอง โอ้ ฏ็อลฮะฮฺ”[31]

ชาวเมืองมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นเซาะฮาบะฮฺและบุคคลอื่นจดหมายขึ้นมา ความว่า “”หากพวกท่านต้องการ ญิฮาด (การต่อสู้ในวิถีทางแห่งอัลลอฮฺ) ก็จงมาจัดการเขา แท้จริงคอลีฟะฮฺของมุฮัมมัดได้ทำให้ศาสนาของเขาเสื่อมเสียแล้ว ดังนั้นจงมาปรับปรุงมันโดยด่วน”[32]

เมื่อสถานการณ์ระหว่างอุซมานและคนที่จงเกลียดจงชังเขาได้ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ท่่านอิมามอะลี (อ.) ได้เข้าไปหาอุซมานและกล่าวกับเขาว่า

أما رضيت من مروان و لا رضي منك إلا بتحرفك عن دينك و عن عقلك مثل الظعنية يقاد حيث يسار به, والله ما مروان بذي رأي في دينه و لا نفسه ! و أيم الله إني لأراه..يوردك و لا يصدرك

“ท่านพึงพอใจในตัวของมัรวาน แต่เขาไม่ได้พึงพอใจในตัวท่านเลย นอกเสียจากต้องการทำให้ท่านหันเหออกจากศาสนาของท่านและเบี่ยงเบนออกจากการใช้ปัญญาของท่าน...ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ มัรวานไม่ได้มีความคิดทางศาสนาเลยและตัวของเขาเองก็เช่นกัน ขอสาบาน ฉันเห็นว่าเขาเป็นคนนำท่านเข้ามาสู่สถานการณ์นี้แต่ไม่นำพาท่านออกไป”[33]

ท่านอิมามอะลี (อ.) ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพื่อที่จะทำให้สถานการณ์สงบลง ท่านอิมาม กล่าวกับฏ็อลฮะฮฺว่า

! أنشدك الله إلا رددت الناس عن عثمان

“ขอสาบานต่ออัลลอฮ ท่านต้องไล่ผู้คนออกไปจากอุซมาน” ฏ็อลฮะฮฺปฏิเสธ คำเตือนของท่านอิมาม (อ.) เขากล่าวว่า “ไม่ ขอสาบานจนกว่าพวกบนูอุมัยยะฮฺ จะมอบสิทธิคืนมาให้ฉัน”[34]

ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เจรจากับพวกชุมนุมที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ และสัญญากับพวกเขาว่าจะพยายามแก้ไขสถานการณ์แทนอุซมาน พวกเขาก็เลยเดินทางออกไปนอกเมืองมะดีนะฮฺ ในระหว่างเดินทางกลับไปยัง มิศร์ (อิยิปต์) พวกเขาจับคนรับใช้ของอุซมานได้ในตัวของเขามีจดหมายลับที่ลงนามโดยอุซมานที่สั่งให้ผู้ปกครอง มิศร์ สังหารพวกเขาให้หมด พวกเขาจึงเดินทางย้อนกลับมาหาอุซมานพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น แต่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนเขียน มีการกล่าวกันว่า มัรวานเป็นคนเขียนจดหมายนี้โดยอ้างชื่อของอุซมาน พวกเขาจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ได้เป็นผู้สัตย์จริงก็ต้องเป็นคนโป้ปด หากท่านเป็นคนโป้ปด ท่านก็สมควรต้องถูกถอดถอน เพราะท่านได้สั่งให้สังหารพวกเราโดยไม่ชอบธรรม แต่ถ้าหากท่านพูดจริง ท่านก็สมควรที่ต้องลาออกไปเพราะความอ่อนแอของท่านในเรื่องนี้ ความไม่เอาใจใส่ของท่านและเครือญาติผู้ชั่วช้าของท่าน ดังนั้น ได้โปรดลาออกเสียเถิด เสมือนดังที่อัลลอฮฺได้ทรงถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งไปแล้ว”

เขากล่าวตอบว่า “ฉันจะไม่ยอมถอดชุดที่อัลลอฮฺทรงสวมให้แก่ฉันเป็นอันขาด แต่ฉันจะยอมสารภาพผิด (เตาบะฮฺ) และยุติเรื่อง”

พวกเขากล่าวตอบว่า “หากครั้งนี้เป็นบาปครั้งแรกของท่าน และท่านก็สารภาพผิดแล้ว พวกเราก็จะยอมรับ แต่พวกเราพบว่าท่านนั้น  เดี๋ยวสารภาพผิด เดี๋ยวก็กลับไปทำอย่างเดิม พวกเราจะไม่ยอมเลิกรา จนกว่าจะถอดถอนท่านออกหรือไม่ก็สังหารท่านเสียหรือไม่ก็วิญญาณของพวกเราก็ได้พบกับอัลลอฮฺ”[35]

ท่านอุซมานถูกมวลมุสลิมกักตัวไว้เป็นเวลา 40 วัน และแล้วพวกเขาก็ได้สังหารเขา ในหมู่ “เซาะฮาบะฮฺ” มีบุคคลที่ปลุกเราให้มีการก่อกบฏต่อเขา ผู้ที่อยู่แนวหน้าก็คือท่านหญิงอาอิชะฮฺ ฮัฟเซาะฮฺ อัมมารบินยาซิร อับดุลเลาะฮฺ บินมัซอูด ฏ็อลฮะฮฺ ซุเบร และอัมร์ บินอาศ ในหมู่พวกเขามีทั้งคนที่ล้อมจับเขาไว้แต่ไม่ได้ดำเนินการเพื่อหวังสังหาร และในหมู่พวกเขาก็มีคนที่มีส่วนร่วมในการสังหารเขาด้วย เช่น อับดุลเราะฮฺมาน บินอะดีซ เขาคือ หัวหน้าของพวกที่เดินทางมา่ร่วมชุมนุมขับไล่เขา เขาคือบุคคลที่เคยให้สัตยาบันต่อท่านเราะซูลุลอฮฺใต้ต้นไม้[36] ในหมู่พวกเขาก็ยังมีคนที่มีความคิดที่จะสังหารเขา เช่ม มุอาวิยะฮฺ บินอบีซุฟยาน[37] เพื่อที่จะเอาประเด็นการลอบสังหารนี้เป็นสื่อเพื่อนำไปสู่การได้มา ซึ่งอำนาจการปกครอง เมื่อเขารอคอยและสั่งให้กองทหารที่ส่งไป ช่วยเหลือนั้นอย่าเพิ่งทำประการใด[38]

ท่านอิบนุอับบาซ (ร.ฎ) มีทัศนะว่า มัรวานคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการสังหารอุซมาน โดยที่เขาได้พูดกับมัรวานว่า “โอ้ศัตรูของอัลลอฮฺ ผู้ที่ถูกท่านศาสดาขับไล่และอนุญาตให้มีการหลั่งเลือดเขาได้ ผู้ที่มีส่วนร่วมอยู่กับอุซมานและข้ารัฐการของเขา โดยการนำพาพวกเขาไปสู่การตัดเส้นเลือดใหญ่ของเขาเอง”[39]

นี่เองที่เลือดของอุซมานนั้นถูกนำมาเป็นเครื่องมือสำหรับการก่อกบฏต่อท่านอิมามอะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) ไม่ว่ามันนั้นจะมาจากพวกที่สนับสนุนอุซมานหรือมาจากพวกที่รอคอยให้มีการสังหารอุซมานก็ตาม ในห้วงเวลาที่มีแต่ความระส่ำระส่ายไร้ซึ่งความมั่นคงแทนที่จะมีการรอคอยให้สถานการณ์มั่นคง และสภาพการณ์อันร้อนแรงได้กลับคืนสู่สภาพสงบก่อน “เซาะฮาบะฮฺ” บางคนกลับสร้างความสับสนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมในสภาพของการเป็นผู้ก่อการล้มล้างอำนาจการปกครอง[40]



[1] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 3 หน้า 218-219 และ “ตัฟซีรุ้ลคอซิน” เล่ม 3 หน้า 371

[2] “ซุนันติรมิซี” เล่ม 5 หน้า 594 และ “อัตตาญุ้ลยามิอ์ลิ้ลอุศูล” เล่ม 3 หน้า 335

[3] โองการนี้ถูกประทานลงมาในเรื่องของท่านอิมามอะลี อิบนิอบีฏอลิบ ดูหนังสือ “อัลกัซซาฟ” เล่ม 1 หน้า 649 และ “อัซบาบุนนุซูล” ของ อัลวาฮิดี หน้า 134

[4] ในซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 67 ซึ่งอัลวาฮิดี กล่าวในหนังสือ “อัซบาบุนนุซูล” หน้า 135 ว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาในเหตุการณ์ ฆ่อดีรคุ

[5] ในซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 3 ซึ่งถูกประทานลงมาในวันที่ 18 ซุลฮิจยะฮฺ ณ ฆ่อดีรคุม โปรดดูหนังสือ “อัลอิตกอน” ของอัซซะยูฏี เล่ม 1 หน้า 75 และ “อัซชาบุนนุซูล” ของ  อัลวาฮิดี หน้า 135 ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวเมื่อมีการประทานโองการนี้ลงมาว่า “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ต่อการที่ทำให้ศาสนาบริบูรณ์และทำให้ความโปรดปรานสมบูรณ์ อีกทั้งพระผู้อภิบาลทรงพึงพอพระทัยต่อ (การเผยแพร่) สาส์นของฉัน และต่ออำนาจการปกครองของอะลีภายหลังจากฉัน” โปรดดูหนังสือ “มะนากิบุอะมีริ้ลมุอ์มินีน (อ.) ของ ฮาฟิซนุฮัมมัด บินซุลัยมาน อัลกอฏีอัลกูฟี เล่ม 1 หน้า 119

[6] “ซุนันติรมิซี” เล่ม 5 หน้า 591 และ “อัตตาญุ้ลญามิอ์ลิ้ลอุศูล” เล่ม 3 หน้า 333

[7] “มุซนัดอะฮ์มัด” เล่ม 4 หน้า 281,368 “ซุนันอิบนุมาญะฮ์” บทนำที่ 1 บทที่ 11, “ตัฟซีรอิบนุกะษีร” เล่ม 1 หน้า 233 และ “อัลมิดายะฮฺวันนิฮายะฮฺ” เล่ม 7 หน้า 360-361

[8] “อัลอิมามะฮฺวัซซิยาซะฮ์” หน้า 14

[9] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 3 หน้า 208 “ตารีคุลอิสลาม อะฮ์ตั้ลคุละฟาอิ้รรอชิดีน” ของ ซะฮะบี หน้า 210 และรายงานทำนองเดียวกันใน “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 6 หน้า 50

[10] “ตารีคคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 3 หน้า 280 และ “อักามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 2 หน้า 359

[11] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 2 หน้า 414

[12] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 3 หน้า 430 และรายงานทำนองเดียวกันกันใน “ตารีคุ้ลยะอ์กูบี” เล่ม 2 หน้า 137

[13] “ตอรีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 3 หน้า 430-431 “ตารีคุ้ลยะอ์กูบี” เล่ม 2 หน้า 137 และ “อัลอักดุ้ลฟะรีด” เล่ม 5 หน้า 21

[14] “มุก็อดดะมะตุฟัตฮิ้ลบารี ฟีชัรฮีศ่อฮีฮิ้ลบุคอรี” ของ อิบนุฮะญั้ล อัซก่อลานี และ “อิรชาตุซซารี ฟีชัรฮิ้ลบุคอรี” ของ ก็อซฏ่อลานี

[15] “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 1 หน้า 185-186

[16] “ตารีคุฏฏอบะรี” เล่ม 4  หน่า 229

[17] “นุฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์” คุฏบะฮฺที่ 3

[18] “อัลกามิ้ลฟัตตารีค” เล่ม 3 หน้า 71 และ “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 9 หน้า  53

[19] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 234 และรายงานทำนองเดียวกันใน “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 9 หน้า 53

[20] “ชัรฮุนะญญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 9 หน้า 53-54 และ “อันซาบุ้ลอัชรอฟ” เล่ม 1 หน้า  12-13

[21] “อัฏฏอบะกอตุ้ลกุบรอ” เล่ม 5 หน้า 36

[22] “มุคตะศ่อรุตารีคิติมัซก์” เล่ม 26 หน้า 341

[23] “อัลอิศอบะฮฺ” เล่ม 6 หน้า 322

[24] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 277  “มุคตะศ่อรุตารีคิติมัชก์” เล่ม 26 หน้า 336 และรายงานทำนองเดียวกันใน “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 8 หน้า 120

[25] “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะอ์” เล่ม 3  หน้า 55

[26] “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 3 หน้า 55-56

[27] “ตารีคุ้ลยะอ์กูลี” เล่ม 2 หน้า 171-173 “ตารีคุ้ลมะดีนะฮฺ” เล่ม 3 หน้า 1034 และ “อัลริยาฏุนนะฏ่อเราะฮฺ” เล่ม 3 หน้า 83

[28] “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 9 หน้า 5

[29] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 459 และ “อัลกามิ้ลฟิตารีค” เล่ม 3 หน้า 206

[30] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 336

[31] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 167

[32] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 168

[33] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 362 และ “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 165-166

[34] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 183

[35] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 196

[36] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 287 และ “ตารีคุ้ลมะดีนะติ้ลมุเนาวะเราะฮฺ” เล่ม 4 หน้า 1155

[37] “ตารีคุ้ลมะดีนะติ้ลมุเนาวะเราะฮฺ” เล่ม 4 หน้า 1153

[38] “อัลกามิ้ลฟิตตารีค” เล่ม 3 หน้า 170

[39] “ชัรฮุนะฮฺญิลบะลาเฆาะฮ์” เล่ม 6 หน้า 299

[40] “ตารีคุฏฏ่อบะรี” เล่ม 4 หน้า 436